บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริงของแอดมินซึ่งมีคุณแม่เป็นไวรัสตับอักเสบ ซี และได้เข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งเป็นเวลา 7 เดือน หากรวมการตรวจวินิจฉัยโรคและตัดสินใจรักษาก็ใช้เวลาประมาณ 16 เดือน ปัจจุบันได้หายขาดจากโรคไวรัสตับอักเสบ ซี และตรวจไม่พบเชื้อไวรัสมากว่า 4 ปีแล้ว มีวัตถุประสงค์ในการเขียนบทความนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบ ซี และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยว่าหากได้ทำการรักษาตามขั้นตอน ปฏิบัติตัวอย่างถูกวิธี และมีจิตใจที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถเอาชนะไวรัสตับอักเสบ ซี ได้อย่างแน่นอน
ก่อนที่จะพูดถึงวิธีการรักษา เรามาทำความรู้จักกับไวรัสตับอักเสบ ซี กันก่อนนะคะ
ไวรัสตับอักเสบ ซี คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบ ซี คือ การที่เซลล์ของตับถูกทำลายหรืออักเสบเพราะตับทำงานผิดปกติจากเชื้อไวรัสตับเสบชนิด ซี โดยมีทั้งหมด 6 สายพันธ์ คือ สายพันธ์ที่ 1-6 ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้
สายพันธ์ที่ 1 | จะรักษาหายยากสุด |
สายพันธ์ที่ 2-3 | มีโอกาสหาย 30 – 90% |
สายพันธ์ที่ 4-6 | ไม่ค่อยพบในประเทศไทย |
สาเหตุที่ทำให้ตับอักเสบ แบ่งได้ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ
- ปัจจัยจากภายนอก
- ตับทำงานหนักมากเกินไป
ปัจจัยภายนอกที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
- มีประวัติได้รับเลือด พลาสม่า ซีรั่ม หรือเกล็ดเลือด โดยเฉพาะได้รับก่อนปีพ.ศ 2533 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาไวรัสตับอักเสบ ซี ในช่วงเวลานั้น
- มีประวัติฉีดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- มีประวัติการฟอกไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
- มีการสัก เจาะตามร่างกาย ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
- ใช้เข็มฉีดยาซ้ำ หรือการฉีดยาโดยหมอเถื่อนตามบ้าน
- ผู้ที่สำส่อนทางเพศมีคู่นอนหลายคน
- ติดต่อจากมารดาไปสู่ทารก แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก ยกเว้นผู้ที่มีปริมาณเชื้อมาก หรือติดเชื้อ HIV
- ผู้ป่วยในไทยร้อยละ 30 ไม่เข้าข่ายปัจจัยเสี่ยงใดๆเลย และไม่ทราบสาเหตุของการติดเชื้อ ซึ่งอนุมานได้ว่าอาจมาจากการที่ตับนั้นทำงานหนักมากเกินไป
ตับ มีหน้าที่อะไรบ้าง
- ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย เปรียบได้กับคอนดัคเตอร์ที่ควบคุมวงดนตรีทั้งวง
-
มีหน้าที่เป็นโรงงานผลิต
- ผลิตโปรตีนที่สำคัญ
- ผลิตโปรตีนอัลบูมิน หรือไข่ขาว ที่ใช้ในการควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกาย หากอัลบูมินในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติจะทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำ และเกลือแร่ไว้ในเกร็ดเลือดได้ เกิดภาวะบวมต่างๆ หรือมีการรั่วของน้ำเข้าไปในช่องอวัยวะ เช่นช่องท้อง ที่เรียกว่า “ท้องมาน”
-
ผลิตโปรตีนที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดเราสามารถหยุดไหลได้
- ผลิตน้ำดี และขับออกทางท่อน้ำดีไหลลงสู่ลำไส้เล็ก เพื่อช่วยในการย่อยอาหารประเภทไขมัน หากตับทำงานผิดปกติ จะเกิดการอุดกั้นท่อน้ำดี ทำให้น้ำดีมีการคั่งและเกิดเป็นโรคดีซ่านได้
- ทำหน้าที่ขับบิลลิรูบิน ที่เกิดจากการสลายของเป็ดเลือดแดงที่หมดอายุของร่างกาย
- สร้างสารต่างๆมากมาย เช่นคลอเรสเตอรอล หรือสร้างน้ำตาลกลูโคสจากสารอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในร่างกาย
-
ทำหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดของเสีย
- ทำลายแอมโมเนีย กรดอะมิโน และโปรตีน ให้เป็นสารที่มีพิษน้อยกว่าคือ ยูเรีย ซึ่งขับออกทางไตได้
- ทำลายสารพิษต่างๆ เช่นแอลกอฮอล์ ยาทั้งหลาย เพื่อให้หมดฤทธิ์และขับถ่ายออกจากร่างกายได้
- ตรวจกรองสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะเชื้อโรคซึ่งมาจากลำไส้ เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรง
- ทำหน้าที่เป็นคลังสินค้า เก็บสะสมสารอาหารต่างไว้ใช้ในยามจำเป็น
จะเห็นได้ว่าตับมีหน้าที่มากมายเหลือเกิน ในผุ้ป่วยหลายรายที่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็คาดการณ์ได้ว่า มาจากการตับทำงานหนัก มีความเครียดสูง พักผ่อนน้อย ทำให้ตับทำงานหนักเกินไปจนเกิดภาวะอักเสบและติดเชื้อได้นั่นเอง ซึ่งในกรณีของผู้เขียนก็คาดว่าเกิดจากสาเหตุนี้เช่นกัน