ครอบครัวกับการดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบัน

” ยิ่งมีงาน มีเงินมากขึ้นเท่าไหร่ กับยิ่งห่างไกลจากครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น “

สภาพสังคมในปัจจุบัน การทำงาน การดำรงชีวิต ได้บีบบังคับให้ทุกคนต้องเอาตัวรอดในสังคมให้ได้ คิดแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องเงิน จนลืมความสำคัญของคนในครอบครัวที่หล่อเลี้ยงตัวเองมา

บางคนส่งพ่อแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรา เพราะคิดว่าเป็นภาระของครอบครัว ตัดพี่ตัดน้องกับคนในบ้านเพราะไม่อยากให้เอาเรื่องมารบกวนครอบครัวตัวเอง หรือที่เห็นเป็นข่าวว่าเข่นฆ่ากันเองเพราะแย่งสมบัติพ่อแม่ แม้แต่สายใยครอบครัวก็ถูกตัดขาดลงเพราะความเห็นแก่ตัว

แต่ครอบครัวในสมัยใหม่ของใครหลายคนก็น่าอิจฉามาก พาพ่อแม่มาอยู่ด้วยใกล้ชิดตัวเอง ใกล้ชิดหลานๆ โดยสามารถเข้ากันได้อย่างอบอุ่น ถึงแม้จะไม่มีเวลาให้กันเพราะต้องทำงาน แต่ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจและความห่วงใยก็ยังคงมีให้แก่กัน

ปัจจัยภายนอกไม่ใช่สิ่งที่จะพรากสายใยครอบครัวของเราออกจากกันได้ แต่มันควรจะยิ่งทำให้ความรักในครอบครัวมีมากขึ้น หากคุณทำงานเยอะไม่มีเวลาไปหาพ่อแม่ คุณก็ต้องยิ่งคิดถึง อยากไปหาท่าน ไปพบ ไปคุยด้วย หากไม่มีเวลากินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ก็ต้องยิ่งอยากพาท่านไปกินข้าว พาไปเที่ยวที่ต่างๆ

หนุ่มสาวยุคใหม่นิยมเข้าวัดทำบุญสร้างกุศลกันมากขึ้น แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า การสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ที่ทำได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด และได้ผลดีที่สุดนั้นคือความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่ของเรา ซึ่งเป็นการทำความดีที่ง่ายและเกิดผลดีกับชีวิตอย่างยิ่ง เช่น หากคุณไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อาจจะโทรศัพท์หาท่านทุกวัน ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ กินข้าวหรือยัง เมื่อคืนนอนหลับมั้ย แค่นี้ก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจท่านมากแล้ว แต่ถ้าทำได้ก็ควรหาเวลาไปหาท่านบ่อยๆ ซื้อของไปฝาก พาท่านไปทานข้าว ไปทำบุญไหว้พระ ถือเป็นกุศลอย่างหนึ่งที่ลูกๆสามารถทำได้ เพื่อตอบสนองบุญคุณที่ท่านได้อุปการะเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เยาว์วัย

” ความรักความเอื้ออาทร จะมีได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันเท่านั้น “

เราควรทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านได้มีความทรงจำดีๆในบั้นปลายชีวิตของท่าน การอ้างว่ายังไม่มีเวลาว่างก็อาจสายเกินไป เมื่อเวลานั้นมาถึงก็หมดโอกาสที่จะได้ดูแลเสียแล้ว

พึงระลึกอยู่เสมอว่า..เราอายุมากขึ้นทุกวัน พ่อแม่ของเราก็อายุเหลือน้อยลงทุกวัน การดูแลพ่อแม่เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่ต้องออกไปแสวงหาจากพระอื่นที่ใดอีก