อาการปวดท้องตรงกลาง ปวดๆ หายๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น หลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในกระเพาะของเราอาจเกิดเป็นแผลเล็กๆ ขึ้นก่อนที่จะนำไปสู่โรคกระเพาะอย่างเต็มรูปแบบ โดยแผลในกระเพาะอาหารนี้ส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะที่กระเพาะของเรามีกรดมากเกินไป อาจเกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานยาแก้ปวดอย่างแอสไพรินเข้าไป รวมทั้งการดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่ด้วย ก่อให้เกิดแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เข้าไปอยู่ภายในชั้นเมือกที่ทำหน้าที่ปกคลุมผิวบริเวณกระเพาะอาหารของเราอยู่ ทำให้เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหารขึ้นได้นั่นเองค่ะ
อาการของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
– มักปวดท้องตรงกลางแบบปวดๆ หายๆ อาจนานเป็นแรมปี หรือเกิดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วก็หาย จากนั้นหลาย
เดือนต่อมาก็กลับมาปวดใหม่อีก
– รู้สึกปวด และแน่นท้องช่วงเวลากลางดึกขณะหลับไปแล้ว
– มีอาการปวด หรือจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่ มักเกิดในขณะหิว หรือท้องว่าง
– รู้สึกปวดท้องมากขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารรสจัดทั้งหลาย
– มีอาการไม่สบายท้อง และท้องอืดร่วมด้วย
– ภายในท้องมีลมอยู่มาก เกิดเสียงดังโครกครากในช่องท้อง
– อาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนด้วย
– รับประทานอาหารได้น้อยลง
– น้ำหนักเริ่มลดลงเล็กน้อย
– รู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ
การป้องกันและรักษาการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
– เลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยได้ง่าย และรสไม่จัด
– แบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ หลายๆ มื้อ โดยแต่ละมื้อให้รับประทานในปริมาณเล็กน้อย ไม่ต้องทานจนรู้สึกอิ่ม
– หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของหมักดอง, ของมัน, ของทอด หรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ
– ไม่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่
– งดดื่มชา หรือกาแฟ และน้ำอัดลม
– ไม่รับประทานยาแก้ปวดอย่างแอสไพริน
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน
– ไม่เครียด หรือวิตกกังวลกับทุกเรื่องมากจนเกินไป
– รับประทานยาลดกรด หรือยาสำหรับรักษาแผลในกระเพาะ ประมาณ 1 – 2 เดือน เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหาร
นอกจากนี้ หากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และถ่ายออกมาปนเลือด รวมถึงอุจจาระเป็นเหลวเป็นสีดำ ควรรีบไปพบคุณหมอทำการตรวจวินิจฉัยนะคะ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจลุกลามกลายเป็นโรคอื่นๆได้ค่ะ
่
ขอบคุณรูปภาพจาก www.flickr.com