ผลข้างเคียงจากการรักษา
หลังจากที่ฉีดยาเข็มแรก จะมีอาการตัวร้อน มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย จำเป็นต้องกินยาลดไข้ เพราะทนไม่ไหว ไอแห้งๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ไม่ค่อยมีแรง อ่อนเพลีย แต่ก็สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำ ลุกนั่งเองได้ปกติโดยไม่ต้องพยุง
อาการตัวร้อน มีไข้นั้นจะเป็นประมาณ 2-3 วันแรกของการฉีดยา ปากจะขมๆทานอาหารไม่ค่อยลง แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรับประทานนะคะ ไม่เช่นนั้นร่างกายจะยิ่งไม่มีแรงอาจทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือหกล้มได้ ในช่วง 3 วันแรกหลังฉีดยานี้ เราควรที่จะดูอย่างใกล้ชิด เพราะยามีผลทำให้เกล็ดเลือดต่ำลง ถ้าต่ำลงมาก็อาจวูบหมดสติได้
ระหว่างการรักษาภูมิต้านทานของร่างกายจะลดต่ำลง หากต้องออกไปข้างนอก ไปโรงพยาบาล หรือไปที่ๆมีคนเยอะๆ ควรจะสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เพราะหากติดเชื้อขึ้นมาร่างกายอาจรับไม่ไหวได้
สรุปผลตรวจหลังผ่านไป 2 สัปดาห์
- เกล็ดเลือดต่ำลงเหลือ 73,000 จาก 83,000 (ค่าปกติคือ 140,000 – 450,000)
- ได้รับใบรับรองแพทย์ว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี และมีเกล็ดเลือดต่ำมาก ซึ่งหากเป็นลมหมดสติไปก็จำเป็นต้องให้เลือดที่โรงพยาบาลใกล้เคียง
- คุณหมอสอบถามว่า “ ไหวมั้ย? ” เพราะผู้ป่วยในไม่สู้ ไม่สามารถทนรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ก็คงจะรักษาต่อไปไม่ได้ ณ วันนั้นบอกเลยว่าคุณแม่ใจสู้มากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีแรงพูดก็ตาม
หลังจากกลับจากการไปฟังผลครั้งแรกเราก็ต้องทำการโด๊ปคุณแม่ขนานใหญ่ โดยจัดหาอาหารที่บำรุงเลือดต่างๆมาให้แต่ท่านก็ทานได้ไม่มากนัก แต่มีอยู่ 1 เมนูที่ท่านทานได้คือซุปกระดูกหมูตุ๋นสมุนไพรจีน ซึ่งเมนูนี้แหละที่ทำให้พอมีกำลังวังชาและเกล็ดเลือดไม่ต่ำลงมากจนเกินไป
ผ่านไป 1 เดือน คุณแม่ผมร่วงและน้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเริ่มบางลง อาการมีไข้ ปวดเมื่อย ไอแห้งๆ ก็ยังมีอยู่ใน 2-3 วันแรกของการฉีดยา แต่ไม่ได้กินยาลดไข้แล้วเพราะไม่อยากให้ตับทำงานหนักเกินไป
เข้าเดือนที่ 3 เกล็ดเลือดลงมาอยู่ที่ 61,000 ผมบางขึ้น น้ำหนักลดลงกว่าเดิมจาก 53 กก. เหลือ 45 กก. อาการข้างเคียงอื่นๆเช่น ปวดเมื่อย ไอแห้งๆ ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม แต่ร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้ว การเดินเหินคล่องขึ้น มีเรี่ยวแรงมากขึ้น
เมื่อครบ 6 เดือน เป็นการฉีดยาเข็มที่ 24 ปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาค่อนข้างดี และเกล็ดเลือดได้ลงมาอยู่ที่ 48,000 คุณหมอจึงสั่งให้สิ้นสุดการรักษาเพราะเกรงว่าเกล็ดเลือดจะต่ำลงมากกว่านี้และร่างกายจะรับไม่ไหว จากตอนแรกที่วางแผนไว้ว่าจะรักษาโดยการฉีดยา 48 เข็ม จึงลดลงเหลือเพียง 24 เข็ม
1 เดือนต่อมา ได้เจาะเลือดตรวจอีกครั้ง ไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี แล้ว และเกล็ดเลือดขึ้นมาอยู่ที่ 64,000 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก โดยหลังจากนั้นก็มีการนัดตรวจเลือดและพบหมอทุก 3 เดือนในปีแรก และทุก 6 เดือนในปีถัดๆมาโดยตรวจไฟโบสแกน อัลตร้าซาวด์ และทำ MRI สลับกันไป ซึ่งก็ไปพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว
สรุปผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการรักษา
- เกล็ดเลือดลดลงจาก 83,000 เป็น 48,000
- น้ำหนักลดลง 5 กก. จาก 53 กิโลกรัม เหลือ 41.5 กิโลกรัม
- ผมบางลงประมาณ 20%
ปัจจัยภายนอกที่ทำให้การรักษาเป็นผลสำเร็จ
- พลังใจของผู้ป่วยที่เชื่อว่าตนเองสามารถหายจากโรคนี้ได้
- กำลังใจจากคนรอบข้าง ที่ช่วยเสริมสร้างพลังใจให้แก่ผู้ป่วย
- ความเข้าใจจากครอบครัว คนในครอบครัวต้องเข้าใจสภาพร่างกาย และอารมณ์ของผู้ป่วยซึ่งอาจมีอาการหงุดหงิด ซึมเศร้า ท้อแท้ ซเราควรจะใจเย็น ปลอบประโลม ให้กำลังใจอย่างนุ่มนวล ไม่ควรแสดงอาการวิตกกังวลให้เห็น เพราะผู้ป่วยก็มีความเครียดกับผลข้างเคียงการรักษาอยู่แล้ว
- การดูแลจากคนใกล้ชิด เรื่องการทานยาให้ตรงเวลา สังเกตการทานอาหารว่าสามารถทานอะไรได้เยอะก็จัดให้ทานบ่อยๆ ระวังอุบัติเหตุภายในบ้านเพราะผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีแรง พื้นที่ในบ้านควรจัดให้เรียบร้อย ไม่วางของเกะกะตามพื้นป้องกันการสะดุดล้ม ถ้าต้องไปในที่ๆคนเยอะก็ต้องให้ใส่หน้ากากอนามัย ระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อโรคเพราะเป็นช่วงที่ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ
“ปัจจัยภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ แต่ปัจจัยภายในเป็นสิิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ” การตอบสนองของร่างกายต่อยาที่ใช้รักษาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆมีการพัฒนาตัวยาที่ใช้รักษาอยู่เสมอ ผู้เขียนคิดว่าเราจะต้องหายขาดอย่างแน่นอนค่ะ ขอเพียงเรามีพลังใจ กำลังใจที่พร้อมจะสู้กับมันและเชื่อว่าเราสามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเข้ารับการรักษานะคะ สู้ๆค่ะ…