อาการเลือดกำเดาไหลออกมานานเกิน 15 นาที หรือมีจุดแดงๆ ขึ้นที่บริเวณผิว ซึ่งดูเผินๆคล้าย
กับรอยยุงกัด อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำแล้วก็เป็นได้ โรคเกล็ดเลือดต่ำมี
สาเหตุเกิดมาจากอะไรกันแน่ และเราจะมีวิธีในการป้องกันโรคได้อย่างไร
สาเหตุของโรคเกล็ดเลือดต่ำ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดของโรคนี้ที่แน่นอน แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อ
ให้เกิดโรคได้ดังนี้
1. ได้รับเชื้อไวรัสบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย และเกิดการฟักตัวจนเกิดเป็นโรคนี้ขึ้น
2. ผู้ที่อยู่ในภาวะโลหิตจาง หรือโรคธาลัสซีเมีย ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงลดจำนวนลง
3. การเสียเลือดมากจากการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
4. ผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคเกี่ยวกับเลือดต่างๆ เช่น มีเลือดออกแบบผิดปกติ หรือเป็นโรคซีด เป็นต้น
5.เกิดจากกรรมพันธุ์ ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมาก่อน
6. จากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เต็มไปด้วยมลภาวะในอากาศ
7.อาจได้รับสารเคมีบางอย่างจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
8. การรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปะปนอยู่
9. ผู้ที่อยู่ในภาวะภูมิต้านทานโรคบกพร่อง หรือร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้
10. ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือระบบน้ำเหลืองต่างๆ ผิดปกติ
11.เกิดจากเซลล์พลาสม่าที่ผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างแอนติบอดี้ได้
12. ผู้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนจากภายนอกสู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นม้ามแตก หรือช็อกโกแลตซีสต์ เป็นต้น
13. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ
14.การได้รับยาบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
15. เม็ดเลือดแดงเกิดการแตกแบบฉับพลัน
16. ภาวะที่ร่างกายขาดธาตุเหล็ก
17. มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
18. ผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร
19. ผู้ที่ป่วยด้วยโรค SLE หรือโรคภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง
20. ผู้ที่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
วิธีการป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากโรคเกล็ดเลือดต่ำ
– หมั่นระมัดระวังตนเองจากการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเลือดไหลไม่หยุด
– หากจะทำการถอนฟัน หรือทำการรักษาโรคใดๆ ควรแจ้งแพทย์เสมอว่าตนเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำ
– ไม่ออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อภาวะการเกิดการกระแทกทำให้เลือดออกได้ง่าย อาจเปลี่ยนกิจกรรมไปเป็นการว่ายน้ำแทน
– ควรรับประทานยาหรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด
ซึ่งหากใครที่ไม่แน่ใจว่าตนจะเป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำหรือไม่ หากมีสาเหตุอาการในเบื้องต้นดังกล่าวแล้วก็
อย่าชะล่าใจกันนะคะ รีบไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะโรคนี้หากรักษาได้เร็วมาก
เท่าไหร่ ก็มีโอกาสหายได้มากเท่านั้นค่ะ
ขอบคุณรูปภาพจาก www.pixabay.com