อาการท้องผูก (Constipation) ถือเป็นความผิดปกติของทางเดินอาหารอย่างหนึ่ง มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันผู้ที่มีอาการท้องผูกมีอยู่ในทุกเพศ ทุกวัย ลักษณะของอาการคือ มีความยากลำบากในการถ่ายอุจจาระ หรือมีความถี่ในการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ร้อยละ 24 ของประชากรไทย หรือ 5 คน ใน 20 คน จะมีอาการท้องผูก
อาการของท้องผูกเรื้อรังที่รุนแรง หากมีอาการเหล่านี้ 2 ใน 6 ข้อ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์ (ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน ) โดยต้องไม่เป็นผู้มีภาวะลำไส้แปรปรวน และไม่ใช้ยาระบาย
- ต้องเบ่งอุจจาระมากกว่าปกติ อย่างน้อย 1 ใน 4 ของการถ่ายอุจจาระ
- อุจจาระมีลักษณะก้อนแข็งมากกว่าปกติ อย่างน้อย 1 ใน 4 ของการถ่ายอุจจาระ
- รู้สึกถ่ายไม่สุด อย่างน้อย 1 ใน 4 ของการถ่ายอุจจาระ
- รู้สึกมีการอุดตันที่ทวารหนัก อย่างน้อย 1 ใน 4 ของการถ่ายอุจจาระ
- ต้องใช้มือช่วยในการถ่ายอุจจาระ อย่างน้อย 1 ใน 4 ของการถ่ายอุจจาระ
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูก
- ทานอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่ทำให้เกิดการขับถ่ายได้
- ดื่มน้ำน้อย เมื่อร่างกายมีน้ำไม่พอใช้ก็จะดูดน้ำจากกากอาหาร ทำให้กากอาหารนั้นแข็งขึ้นจึงทำให้ถ่ายออกยาก
- ขับถ่ายไม่เป็นเวลา
- กลั้นอุจจาระบ่อย
- ทานยาบางอย่าง เช่น ยาบำรุงเลือด ยาต้านความเศร้า ยาแก้ไอ ยาแก้ปวด ยาลดกรด บางชนิด
- เป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น ระยะเวลาถ่ายห่างนานขึ้น , ก้อนอุจจาระมีขนาดเล็กลง
- มีโรคประจำตัว หรือโรคทางกายบางอย่าง เช่น
- ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน การบีบตัวของลำไส้จะทำงานไม่ค่อยดี
- โรคไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติ
- ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง
- โรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน
- มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง เช่นมีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
ผลกระทบที่เกิดจากการท้องผูก
ในช่วงเวลา 05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่กำลังทำงาน หากไม่ได้ขับถ่ายในช่วงเวลานั้น แล้วช่วงเวลา 07.00 – 09.00 น. ก็ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ได้ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาที่กระเพาะอาหาร และดูดซึมซ้ำอีกครั้ง โดยในอุจจาระซึ่งมีแก๊สพิษก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดอาการเหล่านี้
- ก่อนเที่ยงถึงบ่าย จะง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจอ่อนล้าไม่สดใส
- มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก เพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ซึ่งปอดขับออกทางผิวหนัง และลมหายใจ
- หากปล่อยให้เลือดที่ไม่สะอาดไปเลี้ยงสมองเป็นเวลาหลายปี ความจำก็จะเสื่อมเร็ว
- มีอาการปวดเข่า เป็นริดสีดวงทวาร
วิธีแก้อาการท้องผูก
- ขับถ่ายให้เป็นเวลา อย่ากลั้นอุจจาระบ่อย
- ทานอาหารเช้าทุกวัน
- ทานอาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีควรเลือกทานผักที่นิ่ม เช่น ตำลึง ถั่วงอก ไชเท้า ฟัก และนำมาปรุงให้นิ่มด้วย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เฉลี่ยวันละ 6 – 8 แก้วต่อวัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้สูงอายุอาจใช้การเดินซึ่งก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
- หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังมีปัญหาท้องผูกอยู่ อาจต้องพบแพทย์ และใช้ยาช่วย เช่น ยาที่เพิ่มน้ำทำให้อุจจาระนิ่ม ยาหล่อลื่นลำไส้ ยาเหล่านี้ไม่มีผลในระยะยาว แต่หากเป็นยาแรงอย่าง ยาเพิ่มการบีบตัวในลำไส้ ก็ไม่ควรที่จะใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก 1 ใน 3 คน ถึงครึ่งหนึ่งสามารถแก้ไขปัญหาได้เอง แต่ละเลย เนื่องจากเห็นว่าเป็นปัญหาที่ไม่ฉุกเฉินและรุนแรง หรือเห็นว่ารักษาอย่างไรก็คงไม่หายขาด ซึ่งหากปล่อยให้เรื้อรังเป็นเวลานาน อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้ แต่หากใครที่มีอาการท้องผูกสลับท้องเสียบ่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่นได้ ไม่ควรจะนิ่งนอนใจนะคะ