โรคข้อเข่าเสื่อม ( Osteoarthritis ) สิ่งที่มาพร้อมกับวัยที่สูงขึ้น นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่พบมากในผู้สูงอายุ จะลุกก็โอยจะนั่งก็โอย ทำให้ความสุขในการดำรงชีวิตนั้นลดน้อยลง
อาการของข้อเข่าเสื่อม
จะเริ่มตั้งแต่อายุ 30-45 ปีขึ้นไป และจะมีความรุนแรงมากขึ้น และพบบ่อยคือเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีอาการปวดตามข้อเข่าหรือเดินขัดๆในข้อ
สาเหตุทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม
– น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้ข้อรับน้ำหนักมากเกินไป
– กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม
– กิจกรรมที่มีการใช้งานข้อเข่าหรือการทำงานหนัก หรือการใช้งานเข่าผิดวิธี เช่น นั่งเก้าอี้เตี้ยๆ นั่งยองๆ ยกของหนัก เป็นต้น
– ยืน เดิน ไกลๆ เป็นเวลานาน
– เป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เป็นต้น
– จากการประสบอุบัติเหตุ หรือมีการบาดเจ็บมาก่อนทำให้ผิวข้อเข่า
– การติดเชื้อ โดยในวัยเด็กมักจะมีการติดเชื้อที่กระดูกซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะข้อเข่าเสื่อมเมื่อโตขึ้น
– การรับประทานยาสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนและกระดูกบาง
อาการของภาวะข้อเข่าเสื่อม
– มีอาการปวดที่เป็นๆหายหรือปวดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การปวดแบบเฉียบพลัน เนื่องจากการปวดแบบเฉียบพลันเป็นอาการปวดของข้ออักเสบชนิดอื่น เช่น โรคเก๊าท์
– เจ็บใต้ลูกสะบ้า หรือแนวระนาบข้อเข่า
– เข่าบวม หรือบวมๆหายๆ มีอาการปวดและตึงบริเวณหลังเข่าหรืออาจรู้สึกเมื่อไปที่ปลีน่อง (ปลีน่อง คือกล้ามเนื้อด้านหลังหน้าแข้ง)
– เดินแล้วรู้สึกขัดๆ ที่เข่า ทำให้เดินได้น้อยลง
– เมื่อนั่งนานๆ แล้วลุกขึ้นเดินรู้สึกก้าวเท้าไม่ออก ต้องรอสักพักถึงจะก้าวเดินได้ปกติ อาการนี้เรียกว่า start-up pain
– เดินไม่มั่นคง หรือรู้สึกเข่าหลวมๆ
หากใครมีอาการดังกล่าวนี้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเอ็กซเรย์และรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้การรักษานั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการรอให้เป็นมากๆ
10 วิธี ป้องกันปัญหาข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร
1. หลีกเลี่ยงการนั่งยองๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า เป็นเวลานานๆ
2. ถนอมเข่าโดย ขึ้นลงบันไดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
3. ไม่เดินมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆโดยไม่พัก
4. ใช้ที่สวมเข่า (Knee Support) โดยทุก 2 ชั่วโมงให้คลายออกประมาณ 10 นาที ในกรณีที่เริ่มรู้สึกว่าเดินไม่มั่นคงและยังไม่ได้รับการผ่าตัด
5. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึงกิจกรรมต่างๆ เช่นการเดิน ข้อเข่าจะรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของน้ำหนักตัว การวิ่งข้อเข่าจะรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น 5 เท่าของน้ำหนักตัว เป็นต้น ฉะนั้นการที่มีน้ำหนักตัวมากการยืน เดิน วิ่ง ก็จะทำให้ข้อเข่าใช้งานหนักมากขึ้น
6. การออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเข่าเพื่อชะลอการเกิดข้อเข่าเสื่อมและช่วยพยุงกล้ามเนื้อเข่าและกระดูก
7. รับประทานยาบำรุงไขข้ออและรับประทานยาแก้ปวดให้น้อยที่สุด
8. การรับประทานอาหารที่มีส่วนในการช่วยบำรุงกระดูกได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โบรอน แมงกานีส วิตามินดี
9. หลีกเลี่ยงการรับประทานกาแฟมากเกินไป เนื่องจากในกาแฟมีสารคาเฟอีนที่ทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะทำให้กระดูกเปราะบาง
10. งดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกหักและกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่า