ตับ เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 กิโลกรัม หรือ 2% ของ
น้ำหนักตัว โดยจะแบ่งเป็น 2 กลีบ คือกลีบซ้ายและกลีบขวา ทำหน้าที่สร้างสารอาหาร และ
กำจัดของเสียไปพร้อมกัน
สาเหตุของมะเร็งตับ
– เกิดจากไวรัสตับอักเสบ B,C
– การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
– ไขมันเกาะตับเรื้อรังจนทำให้เกิดตับแข็งและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งตับ
– รับประทานอาหารที่มีสารก่อมะเร็งเป็นประจำ เช่น อาหารปิ้ง ย่าง ถั่วป่น หรือธัญพืชชนิดอื่นๆ ที่มีเชื้อรา Aflatoxin
โรคมะเร็งตับ มี 4 ระยะคือ
1. มะเร็งตับระยะแรก มีเนื้องอก และมะเร็งเพียงก้อนเดียว ยังไม่ได้แพร่กระจายไปยังเส้นเลือด และต่อมน้ำเหลือง
หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มักจะไม่มีอาการหรือสัญญาณที่ทำให้ผู้ป่วยรู้ตัวมาก่อน เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่มาก
หากก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก หรือน้อยกว่า 5 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการ หรือก้อนมะเร็งไม่มีการกด เบียด
ที่ทำให้เกิดการอุดตันในท่อน้ำดีจะไม่มีอาการแสดงออกมาเลย
2. มะเร็งตับระยะที่สอง ในระยะนี้มะเร็งยังไม่ได้แพร่กระจายไปยังต่อน้ำเหลือง หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
สามารถเป็นได้ทั้งก้อนมะเร็งเพียงก้อนเดียวที่เติบโตขึ้นที่เส้นเลือของตับ หรืออาจเป็นก้อนมะเร็งหลายจุด แต่มีขนาด
น้อยกว่า 5 เซนติเมตรแต่ยังไม่ได้พัฒนาไปที่เส้นเลือด
3. มะเร็งตับระยะที่สาม ในระยะนี้จะแบ่ง 3 ระยะ
1. มีเนื้องอกมากกว่า 1 ก้อนและมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตรอย่างน้อย 1 ก้อน ในระยะนี้นี้โรคมะเร็งยังไม่ได้
แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
2.โรคมะเร็งได้เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในเส้นเลือดหลักของตับ(หลอดเลือดดำในตับ) แต่เซลล์มะเร็งยังไม่ได้แพร่กระจาย
เข้าไปในต่อมน้ำเหลืองหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
3. มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้กับตับ (ไม่รวมถุงน้ำดี) หรือผ่านทางเยื่อบุที่ห่อหุ้มอวัยวะภายในช่องท้อง
(เยื่อบุช่องท้องอวัยวะภายใน) และยังไม่ได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
4. มะเร็งตับระยะสุดท้าย โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
1. มะเร็งทุกก้อนไม่ว่าจะขนาดใดก็ตามซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งก้อน อาจเติบโตขึ้นในเส้นเลือด หรืออวัยวะรอบๆตับ
มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแต่ไม่ได้ไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
2. มะเร็งมีการเจริบโตขึ้นในเส้นเสือด และอวัยวะรอบตับ อาจไม่แพร่อกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่มีการแพร่
กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายเช่น กระดูก
อาการของโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย
– เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
– คลำเจอก้อนที่บริเวณตับ
– ท้องบวมโตขึ้น เนื่องจากมีน้ำ และมีก้อนในท้อง
– ตัวเหลือง ตาเหลือง
– จุกเสียดแน่นท้อง
– ปวดท้องตลอดเวลา
– อาการของผู้ป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็ว
– อ่อนเพลีย
อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายเมื่อการทำงานของตับล้มเหลว
– อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
– อาการง่วงซึม หาว หรืออาการมึนงง หรือมีอาการเพ้อ
– เกิดความสับสน กระสับกระส่าย
– มีอาการพูดไม่ต่อเนื่องกัน
– อาการโคม่า
– อาการสั่นกระพือของมือ เคลื่อนไหวมือลำบาก
อาหารผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย
ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายมีความเสี่ยงในการขาดสารอาหาร เพราะการเผาผลาญในร่างกายเปลี่ยนแปลงมีการย่อย
และดูดซึมสารอาหารที่ผิดปกติ การขาดสารอาหารจะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายมีความเสี่ยงของการเสียชีวิต
มากขึ้น ดังนั้นการดูแลโภชนาการของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายจึงมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง
กรดอะมิโน แบบโซ่กิ่ง (Branched-chain amino acids) เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะ
สุดท้าย เพราะจะช่วยฟื้นฟูมวลร่างกาย มีส่วนสำคัญในการสร้างมวลกล้ามเนื้อที่สูญเสียไปจากการเผาผลาญอาหาร
ที่ผิดปกติ และอาจช่วยกระตุ้นให้เกิดการฟื้นฟูตับ อาหารที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนแบบโซ่กิ่ง ได้แก่ นม ไข่ปลา
และเวย์โปรตีน
วิตามินและเกลือแร่ ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายมีความเสี่ยงในการขาดตามินและแร่ธาตุ ได้แก่ วิตามิน A,B,C และE
สังกะสี แมกนีเซียม โฟเลต เหล็ก แต่การจัดการปริมาณอาหารที่มิวิตามิน และแร่ธาตุเหล่านี้ควรได้รับการประเมินปริมาณ
วิตามิน และแร่ธาตุที่ผู้ป่วยควรได้รับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
1. การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าสารก่อมะเร็ง (Alfa-fetoprotein) ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับสูง
2. การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อหาก้อนเนื้อบริเวณตับ หรือมีตับแข็งหรือไม่
หากเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เป็นไวรัสตับอักเสบที่มีพฤติกรรมดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ควรมีการตรวจคัดกรองตามมาตรฐาน
คือ ทุกๆ 6 เดือนไปตลอดชีวิต
กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งตับ
– เป็นผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี ที่ไม่ได้เป็นพาหะหรือผู้ก่อโรค
– มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
– เป็นโรคตับแข็ง หรือไขมันพอกตับทำให้ตับแข็ง ควรมีการเฝ้าระวังโดยการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน
ทุก 6 เดือน ตลอดชีวิต
การป้องกันโรคมะเร็งตับ
– ในกรณีที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
– งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
– หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง อาหารที่ไหม้เกรียม หรือรมควัน เพราะมีสารก่อมะเร็ง รวมถึงธัญพืชมีความชื้น
– รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกสุขลักษณะ
– ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อรักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก