โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และบางครั้งเรียกว่า การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection) วิธีการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยปกติจะใช้ยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรียขึ้นอยู่กับสาเหตุ การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด และกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงหากมีเชื้อแบคทีเรียมีการแพร่กระจายไปที่ไต
อาการ และสัญญาณของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
– มีการกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย
– รู้สึกแสบร้อนเมื่อปัสสาวะ
– มีเลือดปนในปัสสาวะ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
– ปัสสาวะมีกลิ่น หรือมีสีขุ่น
– รู้สึกไม่สบายบริเวณกระดูกเชิงกราน
– ความรู้สึกของความดันในช่องท้องลดลง
– มีไข้ต่ำ
– หากมีอาการ ปวดหลัง หรือปวดด้านข้าง มีไข้และหนาวสั่น มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรพบแพทย์เพราะอาจมีการ
ติดเชื้อที่ไต
วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
– การติดเชื้อครั้งแรก อาการมักจะดีขึ้นภายในหนึ่งวันหลังจากมีการให้ยาปฏิชีวนะ แต่ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ยา
ปฏิชีวนะเป็นเวลา 3 วันต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อของผู้ป่วย
– การติดเชื้อซ้ำ อาจต้องทำการประเมินผลดูความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ
การอักเสบเรื้อรัง
– ทานยา และใช้ยาเหน็บที่ใส่โดยตรงในกระเพาะปัสสาวะ
– วิธีการจัดการที่กระเพาะปัสสาวะเพื่อทำให้อาการดีขึ้น เช่น การยืดกระเพาะปัสสาวะด้วยน้ำ การเป่าลมเข้าไปใน
กระเพาะปัสสาวะ หรือการผ่าตัด
– กระตุ้นเส้นประสาทซึ่งใช้คลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดกระดูกเชิงกราน และในบางกรณีช่วยลดความถี่
ในการปัสสาวะ
การอักเสบในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
– หากมีอาการแพ้สารเคมีบางอย่าง เช่น ครีมอาบน้ำ หรือยาฆ่าเชื้ออสุจิ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เหล่านั้น อาจช่วยให้
อาการดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระเพาะปัสสาะอักเสบซ้ำในอนาคต
– กรณีเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด มุ่งเน้นไปที่การรักษาอาการปวด มักจะใช้ยาที่
ให้ความชุ่มชื้นเพื่อไปกวาดล้างสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคือง หรืออักเสบในกระเพาะปัสสาวะ
การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
– ดื่มน้ำมากๆ
– ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ หรือปัสสาวะทันทีที่รู้สึกปวด
– เช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หลังจากการปัสสาวะหรืออุจจาระ จะช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่อาศัย
อยู่รอบๆ ทวารหนักแพร่ไปยังช่องคลอด และท่อปัสสาวะ
– ใช้ฝักบัวมากกว่าการใช้อ่างอาบน้ำ
– ค่อยๆล้างผิวรอบช่องคลอด และทวารหนักทุกวัน และไม่ใช้สบู่ล้างแรงเกินไปเพราะผิวบริเวณนี้ค่อนข้างบอบบาง
อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
– ดื่มน้ำมากๆหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ จะช่วยล้างแบคทีเรียให้ออกมากับปัสสาวะ
– หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ระงับกลิ่นกาย หรือผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงในบริเวณอวัยวะเพศ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถทำให้
ระคายเคืองท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะได้
ขอบคุณรูปภาพจาก www.flickr.com