หากใครมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ร่วมกัน นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคว่าคุณกำลังเกิดอาหารเป็นพิษอยู่ก็ได้นะคะ ซึ่งอาการอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารพิษสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง, เชื้อไวรัส, เชื้อแบคทีเรีย, พยาธิ และพืชประเภทแพลงก์ตอน โดยที่เราไม่รู้ตัวนะคะ
โดยสาเหตุหลักๆ จะเกิดจากการรับประทานอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคดังที่กล่าวไป หรืออาหารเก่าเก็บที่ทิ้งไว้ข้ามปี หรือการนำอาหารที่ไม่ได้อุ่นหรือผ่านความร้อนมารับประทาน ทำให้เชื้อโรคก่อตัวขึ้นในร่างกายและนำมาสู่โรคอาหารเป็นพิษในที่สุดค่ะ
อาการของโรคอาหารเป็นพิษ
– ปวดท้องแบบบิดๆ เป็นพักๆ
– ท้องเสียหรือท้องร่วงนานเกิน 2 วัน หรืออาจมีอุจจาระปนเลือดออกมาร่วมด้วย
– คลื่นไส้อยากอาเจียน
– มีไข้ อ่อนเพลีย และปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
– วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด และอาจเป็นลมได้
– เกิดอาการตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
– รู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก
– ปากและผิวเริ่มแห้ง
– ปัสสาวะออกมาได้น้อย
– หายใจเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ
วิธีการป้องกันอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ
– รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และไม่ทานเนื้อสัตว์ที่สุกๆ ดิบๆ
– ก่อนรับประทานควรนำช้อน, ส้อม หรือจานไปผ่านความร้อนก่อน
– พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อดนอน
– ดื่มน้ำเปล่าต้มสุกที่สะอาดให้มากๆ
– รับประทานอาหารประเภทอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย
– ไม่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่
– ไม่ดื่มกาแฟ หรือน้ำอัดลม
– ดื่มน้ำข้าว หรือน้ำเกลือแร่
– ไม่รับประทานอาหารที่เก่าเก็บข้ามปี หรือหมดอายุแล้ว
– ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 วัน หรือเกิดมีอุจจาระปนเลือดออกมา ให้รีบไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาทันทีค่ะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้เนิ่นนาน เพราะอาการอาหารเป็นพิษนี้สามารถก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต และเสียชีวิตได้เลยทีเดียวนะคะ
ขอบคุณรูปภาพจาก www.flickr.com